สภาวะโลกร้อน (GLOBAL WARMING)

สภาวะโลกร้อน ภาวะโลกร้อนคือการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกอันเนื่องมาจากปรากฏการณ์เรือนกระจก หรือสิ่งที่เราคุ้นเคยกันดีคือภาวะเรือนกระจกที่เกิดจากมนุษย์ ปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงต่างๆ การขนส่งและการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมแล้ว มนุษย์เรายังได้เพิ่มปริมาณก๊าซไนตรัสออกไซด์อีกด้วย . นอกจากนี้ ยังมีการเติมคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFC) ควบคู่ไปกับการที่เราตัดและทำลายป่าอันกว้างใหญ่เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่สะดวกสบายสำหรับมนุษย์ ซึ่งจะลดประสิทธิภาพของกลไกในการดึงคาร์บอนไดออกไซด์ออกจากชั้นบรรยากาศ และสุดท้ายสิ่งที่เราทำกับโลกก็กลับมาหาเราในรูปของภาวะโลกร้อน ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะโลกร้อน ปรากฏการณ์ทั้งหมดนี้เกิดจากภาวะโลกร้อนอันเนื่องมาจากการปล่อยก๊าซพิษต่างๆ จากโรงงานอุตสาหกรรม ทำให้แสงแดดส่องผ่านชั้นบรรยากาศมาถึงพื้นโลกได้มากขึ้น เรียกอีกอย่างว่าปรากฏการณ์เรือนกระจก

ก๊าซเรือนกระจกที่สำคัญ 6 ชนิด ที่จะต้องลดการปล่อย ได้แก่ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ก๊าซมีเทน (CH4) ก๊าซไนตรัสออกไซด์ (N2O) ก๊าซไฮโดรฟลูโรคาร์บอน (HFCS) ก๊าซเปอร์ฟลูโรคาร์บอน (CFCS) และก๊าซซัลเฟอร์เฮกซ่าฟลูโอโรด์ (SF6)

 

ผลกระทบด้านนิเวศวิทยา

 

สภาวะโลกร้อน บริเวณขั้วโลกได้รับผลกระทบมากที่สุดและทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงมากมาย โดยเฉพาะภูเขาน้ำแข็งที่น้ำแข็งละลายเร็ว ทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นในบริเวณขั้วโลกและไหลไปทั่วโลก ทำให้เกิดน้ำท่วมในทุกทวีป นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงในระบบนิเวศอาจทำให้สัตว์ทะเลตายได้ ทวีปยุโรป ภูมิทัศน์ของยุโรปตอนใต้จะมีความลาดชันและเกิดภัยแล้งได้ง่าย เมื่อธารน้ำแข็งบนเทือกเขาแอลป์ละลาย ปัญหาน้ำท่วมก็จะเพิ่มมากขึ้นในหลายภูมิภาค อุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นในเอเชียจะนำไปสู่ฤดูแล้ง น้ำท่วม และการผลิตอาหารลดลง ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้มีพายุเข้ามาทำลายบ้านเรือนของผู้คนมากขึ้น ปัจจุบันผลกระทบของพายุไต้ฝุ่นเริ่มชัดเจนมากขึ้น แต่เช่นเดียวกับ Great Plains ของแคนาดาและสหรัฐอเมริกา อุตสาหกรรมการผลิตอาหารของอเมริกาเหนือก็จะได้รับประโยชน์จากสภาพอากาศที่อบอุ่นเช่นกัน

นักวิจัยคาดการณ์ว่าหากคาดว่าจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ 63 เปอร์เซ็นต์ และก๊าซมีเทน 63 เปอร์เซ็นต์ อุณหภูมิพื้นผิวโลกในอีก 100 ปีข้างหน้าหรือประมาณปี 2100 จะอุ่นขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันประมาณ 4.5 องศาเซลเซียส มี 27 อุณหภูมิ อุณหภูมิก๊าซเรือนกระจกในประเทศไทยสูงขึ้นประมาณ 1°C ในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา แต่หากอุณหภูมิเพิ่มขึ้น 2 ถึง 4°C เส้นทางของพายุไต้ฝุ่นอาจเปลี่ยนแปลงและรุนแรงยิ่งขึ้น ในอนาคตจำนวนนั้นจะเพิ่มขึ้น 10-20% และฤดูร้อนก็จะขยายออกไปด้วย เมื่อฤดูหนาวสั้นลง

 

ผลกระทบด้านเศรษฐกิจ

 

รัฐที่เป็นเกาะเล็ก ๆ ของทวีปอเมริกาจะได้รับผลจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นกัดกร่อนชายฝั่ง จะสร้างความเสียหายแก่ระบบนิเวศ แนวปะการังจะถูกทำลาย ปลาทะเลประสบปัญหา เนื่องจากระบบนิเวศที่แปรเปลี่ยนไป ธุรกิจท่องเที่ยวทางทะเลที่สำคัญจะสูญเสียรายได้มหาศาล นอกจากนี้ ในเอเชียยังมีโอกาสร้อยละ 66-90 ที่อาจเกิดฝนกระหน่ำและมรสุมอย่างรุนแรง รวมถึงเกิดความแห้งแล้งในฤดูร้อนที่ยาวนาน ทั้งนี้ ในปี 2532-2545 ประเทศไทยเกิดความเสียหาย จากอุทกภัย พายุ และภัยแล้ง คิดเป็นมูลค่าเสียหายทางเศรษฐกิจมากกว่า 70,000 ล้านบาท

รายงาน ” Global Deserts Outlook ” ของโครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ เนื่องในวันสิ่งแวดล้อมโลก 5 มิถุนายน ชี้ว่า ภายใน 50 ปีข้างหน้า ระบบนิเวศวิทยาทะเลทราย จะเปลี่ยนแปลงไปทั้งด้านชีววิทยา เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ปัจจุบันพืชและสัตว์ทะเลทราย คือแหล่งทรัพยากรมีคุณค่าสำหรับผลิตยาและธัญญาหารใหม่ๆ ที่ทำให้ไม่ต้องสิ้นเปลืองน้ำและยังมีช่องทางเศรษฐกิจใหม่ๆ ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ เช่น การทำฟาร์มกุ้งและบ่อปลาในทะเลทรายรัฐอาริโซนาและทะเลทรายเน เจฟในอิสราเอล อย่างไรก็ตาม ทะเลทรายที่มีอยู่ 12 แห่งทั่วโลก กำลังเผชิญปัญหาใหญ่ ไม่ใช่เรื่องการขยายตัว แต่เป็นความแห้งแล้งเนื่องจากโลกร้อน ธารน้ำแข็งซึ่งส่งน้ำมาหล่อเลี้ยงทะเลทรายในอเมริกาใต้กำลังละลาย น้ำใต้ดินเค็มขึ้น รวมทั้งผลกระทบที่เกิดจากน้ำมือมนุษย์ ซึ่งหากไม่มีการลงมือป้องกันอย่างทันท่วงที ระบบนิเวศวิทยาและสัตว์ป่าในทะเลทรายจะสูญหายไปภายใน 50 ปีข้างหน้า ในอนาคตประชากร 500 ล้านคนที่อาศัยอยู่ในเขตทะเลทรายทั่วโลกจะอยู่ไม่ได้อีกต่อไป เพราะอุณหภูมิสูงขึ้นและน้ำถูกใช้จนหมดหรือเค็มจนดื่มไม่ได้

 

ผลกระทบด้านสุขภาพ

 

สภาวะโลกร้อน ภาวะโลกร้อนไม่เพียง ทำให้ระบบนิเวศเปลี่ยนแปลงไปแต่มีสิ่งซ่อนเร้นที่แอบแฝงมาพร้อม ปรากฏการณ์นี้ด้วยว่าโลกร้อนขึ้นจะสร้างสภาวะที่พอเหมาะพอควรให้เชื้อโรคเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว โลกร้อนขึ้นจะก่อให้เกิด สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมแก่การฟักตัวของเชื้อโรคและศัตรูพืช ที่เป็นอาหารของมนุษย์บางชนิด โรคที่ฟักตัวได้ดีในสภาพร้อนชื้นของโลก จะสามารถเพิ่มขึ้นมากในอีก 20 ปีข้างหน้า ทั้งจะมีการติดเชื้อเพิ่มมากขึ้นในโรคมาลาเรีย ไข้ส่า อหิวาตกโรค และอาหารเป็นพิษนักวิทยาศาสตร์ในที่ประชุมองค์การอนามัยโลก และ London School of Hygiene and Tropical Medicine วิทยาลัยศึกษาด้านสุขอนามัยและเวชศาสตร์เขตร้อนของอังกฤษ แถลงว่า ในแต่ละปีประชาชนราว 160,000 คนเสียชีวิตเพราะได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ตั้งแต่โรคมาลาเรีย ไปจนถึงการขาดแคลนสุขอนามัยที่ดี และตัวเลขผู้เสียชีวิตนี้อาจเพิ่มขึ้นเกือบสองเท่าตัวในอีก 17 ปีข้างหน้า แถลงการณ์ของคณะแพทย์ระดับโลกระบุว่า เด็กในประเทศกำลังพัฒนาจัดอยู่ในกลุ่มเสี่ยงมากที่สุด เช่นในประเทศแถบแอฟริกา ละตินอเมริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จะต้องเผชิญกับการแพร่ขยายของการขาดแคลนสุขอนามัยโรคท้องร่วง และโรคมาเลเรีย ท่ามกลางอุณหภูมิโลกร้อนขึ้น น้ำท่วม และภัยแล้ง

จะป้องกันได้อย่างไร ได้มีผู้แนะนำวิธีการช่วยป้องกันสภาวะโลกร้อนไว้ดังนี้

  • 1. ลดระดับการใช้งานเครื่องใช้ ไฟฟ้าลง เช่น เพิ่มความร้อนของเครื่องปรับอากาศในสำนักงานหรือที่พักอาศัยลงสักหนึ่งองศา หรือ ปิดไฟขณะไม่ใช้ งาน
  • 2. นำกระดาษหรือภาชนะบรรจุอื่นๆ กลับไปใช้ใหม่ พยายามซื้อสิ่งของที่มีอายุ การใช้งานนานๆ จะช่วยลดการใช้พลังงานของโลกอย่างมากมาย
  • 3. รักษาป่าไม้ให้ได้มากที่สุด และลดหรืองดการจัดซื้อสิ่งของหรือเฟอร์นิเจอร์ ต่างๆ ที่ทำจากไม้ที่ตัดเอามาจากป่า เพื่อปล่อยให้ต้นไม้และป่าไม้เหล่านี้ได้ทำหน้าที่การ เป็นปอดของโลกสืบไป
  • 4. ลดการใช้น้ำมัน จากการขับขี่ยวดยานพาหนะ

 

บทความแนะนำ